รถยนต์ไฟฟ้า สาวช้ำ ซื้อมาไม่สามารถจดทะเบียนกับทางขนส่งได้

รถยนต์ไฟฟ้า กลายเป็นรถยนต์ที่ได้รับความสนใจ และความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบันนี้ สาเหตุหลักเพราะเป็นรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน และยังช่วยลดการเกิดมลพิษทางอากาศอีกด้วย เนื่องด้วยรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนน้ำมันจำนวนมหาศาล ซึ่งปล่อยไอเสีย มลพิษทางอากาศออกมานั่นเอง

โพสเฟซบุ๊กเตือนภัยซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้

กรณีสาวเชียงใหม่โพสต์เตือนภัยพร้อมเล่าประสบการณ์สุดช้ำ ตัดสินใจขาย BMW เอาเงินมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านมาเป็นปีแล้วยังไม่สามารถจดทะเบียนกับทางขนส่งได้ พอติดตามทวงถามทางบริษัทกลับบ่ายเบี่ยง จนทุกวันนี้ต่อประกันภัยไม่ได้และไม่กล้านำรถออกมาขับบนท้องถนน เพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนรับผิดชอบไม่ไหว เชื่อมีคนเดือดร้อนแบบเดียวกันนี้อีกหลายราย วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องช่วยเหลือ

รายงานข่าวแจ้งว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Sipim Manassawat” ซึ่งเป็นหญิงสาวที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ โพสต์เรื่องราวบอกเล่าประสบการณ์พร้อมเตือนภัยจากการที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้นานเป็นปีแล้ว แต่ปรากฏว่าจนถึงทุกวันนี้ยังต้องใช้ป้ายแดงโดยที่ไม่สามารถจดทะเบียนกับทางขนส่งได้ รวมทั้งไม่สามารถทำประกันภัยได้ด้วย ทั้งที่ตอนซื้อจากทางบริษัทรถยนต์ดังกล่าวนั้น มีการยืนยันว่าสามารถจดทะเบียนได้ ซึ่งทำให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักเพราะไม่กล้านำรถออกมาขับ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนแล้วไม่สามารถรับผิดชอบได้ พร้อมบอกด้วยว่ามีผู้ที่เดือดร้อนเช่นเดียวกันนี้อีกหลายคน จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องช่วยเหลือ ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นและแชร์ต่อไปจำนวนมาก

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวระบุว่า “ซื้อรถถูกกฎหมาย ..สุดท้ายกลายเป็นรถเถื่อน ฝากเตือนภัยค่ะ รถไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง เราขาย bmw มาซื้อรถไฟฟ้า เซลล์แจ้งว่ามีเล่มจดทะเบียนได้ จัดไฟแนนซ์ได้ เราเห็นว่าจัดไฟแนนซ์ได้เลยมั่นใจซื้อ เราจัดไฟแนนซ์มาเซอร์วิสถึงบ้าน สั่งจอง 6 เดือน เค้าให้ใช้ป้ายแดงแล้วแจ้งว่าป้ายขาวจะได้ภายในสองถึงสามเดือน ตอนนี้เป็นปีแล้ว ป้ายไม่ได้ ต่อภาษีไม่ได้ต่อประกันชั้น 1 ไม่ได้ ศูนย์รถไม่รับผิดชอบอะไรเลย เอาแต่บ่ายเบี่ยงโยนไปคนโน้นทีคนนี้ที

ทุกวันนี้เหมือนขับรถเถื่อน จะไปไหนก็ไม่กล้าไปกลัวชนเขาแล้วรับผิดชอบไม่ไหวเพราะไม่มีประกัน ตอนขายไหนบอกกันว่าจดทะเบียนได้แน่นอน ไม่ใช่รถเถื่อนแน่นอน ตอนนี้ มันจดทะเบียนไม่ได้ ขนส่งไม่รองรับ เจ้าของบริษัทควรออกมารับผิดชอบ หรือไม่ก็คืนรถให้ลูกค้าด้วยนะคะ ฝากถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเป็นสื่อกลางให้ เค้าออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยนะคะ เพราะไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่เดือดร้อนยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ป้ายทะเบียนเหมือนกันค่ะ”

ทำความรู้จัก รถยนต์ไฟฟ้า มีกี่ประเภท

  • ไฮบริด (Hybrid electric vehicle หรือ HEV)

ที่คุ้นเคยกันดี โดยเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปและมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง และทํางานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มกําลังของรถยนต์ให้เคลื่อนที่ รวมทั้งยังสามารถนำพลังงานกลที่เหลือหรือไม่ใช้ประโยชน์เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ เป็นพลังงานขับเคลื่อนหรือใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ จึงมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่ารถยนต์ปกตินั่นเองครับ แต่รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดนั้นจะไม่สามารถชาร์จไฟฟ้าได้เอง ต้องทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่เท่านั้น

  • ไฮบริดปลั๊กอิน (Plug-in hybrid electric vehicle หรือ PHEV)

เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อมาจากรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดครับ โดยเพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จพลังงานไฟฟ้าได้จากแหล่งภายนอก (Plug-in) นั่นเอง ทําให้รถยนต์สามารถใช้พลังงานพร้อมกันจาก 2 แหล่ง จึงสามารถวิ่งในระยะทางและความเร็วที่ไกลกว่า HEV และมีการออกแบบอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ แบบ Extended range EV (EREV) ที่เน้นการทํางานโดยใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักก่อน และแบบ Blended PHEV ที่มีการทํางานผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์และไฟฟ้าครับ

  • แบตเตอรี่ (Battery electric vehicle หรือ BEV)

เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมิลพิษทางอากาศโดยตรง เพราะมีเฉพาะมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกําลังให้รถยนต์เคลื่อนที่และใช้พลังงานไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่ 100% จึงทำให้ระยะทางการวิ่งของรถยนต์จึงขึ้นอยู่กับ การออกแบบ, ขนาดและชนิดของแบตเตอรี่

  • เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cell electric vehicle หรือ FCEV)

เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cell) ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรงจากไฮโดรเจนโดยในโครงสร้างจะมีแผงเซลล์เชื้อเพลิงหรือ Fuel Cell Stack ถังแรงดันสูงเพื่อเก็บไฮโดรเจนในรูปแบบของเหลวครับ ซึ่งมีมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนและชาร์จกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ โดยระบบจะส่งไฮโดรเจนและอากาศที่มีออกซิเจนเข้าไปสู่แผงเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อทำปฏิกิริยาในการสร้างกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่ จากนั้นกระแสไฟฟ้าก็จะถูกส่งไปที่มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ต่อไป รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงนี้จะไม่มีการปล่อยมลพิษ และ คาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์โดยตรงครับ

ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยหลายเจ้านั้น ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ออกสู่ตลาดให้ได้เลือกมากมาย แต่อย่างไรก็ตามรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 4 ประเภท ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ประหยัดการใช้น้ำมัน และลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อนนั่นเอง

รถยนต์ไฟฟ้า

ข้อดี ข้อเสีย ของรถยนต์ไฟฟ้า

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า

1. ค่าพลังงานถูก

ค่าพลังงานถูกเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น โดยเมื่อเทียบค่าพลังงานเฉลี่ยของน้ำมันเบนซิน หรือดีเซล จะเฉลี่ยอยู่ราวๆ ลิตรละ 30-40 บาท ซึ่งหากนำไปเติมรถยนต์น้ำมันประเภท SUV จะสามารถขับขี่ได้ระยะทางราวๆ 10-17 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น หรือถ้าเป็นรถยนต์ไฮบริดก็อาจจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นมาเป็น 15-24 กิโลเมตร/ลิตร

ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่มีความแตกต่างกันตามประเภทของการเติมพลังงาน และแหล่งที่รับพลังงานมา โดยหากชาร์จไฟที่บ้านผ่านมิเตอร์แบบ TOU ค่าพลังงานไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละราวๆ 2.6369 บาท/หน่วย ส่วนการชาร์จแบบ DC Fast charge ตามสถานีชาร์จสาธารณะ มักจะมีค่าบริการอยู่ราวๆ 7.5 บาท/หน่วย ซึ่งไฟฟ้า 1 หน่วย จะสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าได้ระยะทางราว 4-7 กิโลเมตร/หน่วย เลยทีเดียว และรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ก็หันมาพัฒนารถยนต์ที่ประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากเปรียบเทียบค่าพลังงานต่อกิโลเมตรแล้ว พบว่า

รถยนต์ไฟฟ้า มีต้นทุนค่าพลังงานในการการเดินทางเริ่มต้นเพียง 0.37 บาท/ 1 กิโลเมตร
รถยนต์น้ำมัน มีต้นทุนค่าพลังงานในการการเดินทางเริ่มต้น 1.76 บาท/ 1 กิโลเมตร
ส่วนรถยนต์ไฮบริด มีต้นทุนค่าพลังงานในการการเดินทางเริ่มต้น 1.25 บาท/ 1 กิโลเมตร

2. รถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพต่อราคาคุ้มค่ากว่ารถน้ำมัน

รถยนต์ไฟฟ้า ณ ตอนนี้ ถือเป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพต่อราคาถูกที่สุดในปัจจุบัน คำนวณง่ายๆ จากโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในไทยอย่างเช่น BMW i4 M50 มอบพละกำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 795 นิวตันเมตร ในราคาวางจำหน่ายที่ 4,999,000 บาท หรือคิดง่ายๆ ตกแรงม้าละ 9,189 บาท

ส่วนรถยนต์น้ำมันที่มีแรงม้าใกล้เคียงกัน คุณต้องขยับไปหา BMW M4 ที่มอบพละกำลังใกล้เคียงกันที่ 510 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ในราคาวางจำหน่ายที่ 7,999,000 บาท หรือคิดง่ายๆ ตกแรงม้าละ 15,684 บาท เลยทีเดียว

3. เราสามารถผลิตไฟฟ้าเองได้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ในการหาแหล่งพลังงานนั้น พลังงานไฟฟ้าถือว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ค่อนข้างง่าย เพราะนับเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการใช้ชีวิตไปแล้ว แม้ว่าในการเดินทางไกล รถยนต์ไฟฟ้ายังคงต้องการชาร์จพลังงานจากสถานีชาร์จฉุกเฉินมากกว่า แต่ในยามคับขันแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถชาร์จแบตเตอร์รี่จากปลั๊กไฟธรรมดาได้ด้วยเช่นกัน แต่จะใช้เวลาการชาร์จที่ยาวนานกว่านับสิบเท่า

นอกจากนี้แล้ว พลังงานไฟฟ้ายังถือเป็นพลังงานที่ไม่มีการรวมศูนย์กลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างผูกขาด เพราะแสงอาทิตย์สามารถเปลี่ยนมาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ด้วยเช่นกัน ด้วยการผลิตจากโซล่าเซลล์นั่นเอง

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการที่มันไม่มีการคายไอเสียออกมานั่นเอง ทำให้มันสามารถใช้งานในสถานที่ปิดได้

4. ความอเนกประสงค์

รถยนต์ไฟฟ้า สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้มากกว่ายานพาหนะ คุณอาจจะเปลี่ยนรถยนต์ไฟฟ้า เปิดระบบและเปิดแอร์เพื่อเปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงานที่อยู่หน้าบ้านหรือนอกสถานที่ ก็สามารถทำได้ หรือจะเปลี่ยนมันเป็นที่นอนหลับพักผ่อนก็สามารถทำได้ เพราะมันไม่มีไอเสียที่จะไหลย้อนเข้ามาในห้องโดยสารเพื่อปลิดชีวิตได้นั่นเอง

5. ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ

นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และนโยบายลดโลกร้อน ถือเป็นวาระระดับโลก ที่รัฐบาลหลายๆ ประเทศต่างตื่นตัว และให้การสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยในการลดโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดอากาศเสียไม่ให้เข้ามาเพิ่มในชั้นบรรยากาศที่เราหายใจด้วย

ด้วยเหตุผลนี้ ส่งผลให้รัฐบาลหลายๆ ประเทศ ที่มีความต้องการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าให้มีเพิ่มขึ้น หรือตั้งเป้าให้มาทดแทนรถยนต์สันดาปแบบเดิม จึงมีมาตรการสนับสนุนจากทางภาครัฐอยู่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบส่วนลดการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า, สิทธิพิเศษทางภาษี หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่ได้มาเฉพาะผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า

1. เติมพลังงานช้า

การชาร์จแบตเตอร์รี่ที่ใช้เวลาในการเติมพลังงานช้ากว่าการเติมน้ำมันนับสิบเท่า ยังถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญต่อระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ แม้ว่าปัจจุบันนี้เทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอร์รี่ความเร็วสูงจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดแล้ว ใช้เวลาในการชาร์จเพียง 10-15 นาที ก็เพียงพอสำหรับระยะทางขับขี่ต่ออีกหลายร้อยกิโลเมตร แต่สุดท้ายก็ยังช้ากว่าการเติมน้ำมัน 2 นาที ขับขี่ต่อได้อีก 600 กิโลเมตรอยู่ดี

2. ระยะทางขี่ยังมีข้อจำกัดการใช้งาน

ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ระยะทางขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้ายังถูกจำกัดด้วยความจุของแบตเตอร์รี่และประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ดี แม้เทคโนโลยีด้านแบตเตอร์รี่จะถูกพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยระยะทางต่อราคาของรถยนต์ไฟฟ้าที่นับว่ายังค่อนข้างสูงอยู่ ทำให้เราจะเห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้ามักจะมาในรูปแบบของรถยนต์กึ่งพรีเมี่ยมมากกว่ารถยนต์แบบทั่วๆ ไป ที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ง่าย สาเหตุก็เพราะว่าปัจจุบันนี้ต้นทุนการทำแบตเตอร์รี่มีราคาค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เลือกทำรถยนต์ที่มีราคาสูงก่อนนั่นเอง

3. อู่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะยังมีน้อยมาก

ด้วยความที่มนุษย์เราอยู่กับรถยนต์สันดาปมาอย่างยาวนาน ทำให้เกิดธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์สันดาปอยู่อย่างมากมาย โดยเฉพาะเจ้าตลาดนี้มีให้เจอแบบง่ายๆ แตกต่างจากอู่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า ที่แม้ว่าจะมีเหมือนกัน แต่ก็มักจะเป็นอู่เฉพาะทาง และมีจำนวนที่น้อยมากๆ ไม่ได้หาง่ายเหมือนกับอู่ซ่อมรถยนต์น้ำมัน

แม้ว่าการซ่อมแซมทั่วๆ ไปอย่างตัวถัง, ล้อ, ยาง จะสามารถทำได้ตามอู่ซ่อมรถทั่วไป แต่ถ้าเป็นเรื่องของงานระบบไฟฟ้าเนี้ย หากเกิดปัญหาขึ้นมาก็ต้องเข้าศูนย์บริการเท่านั้น

4. เหมาะกับคนที่มีพื้นที่ส่วนตัวมากกว่า

การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าให้คุ้มค่าที่สุด ต้องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน และต้องติดมิเตอร์แบบ TOU ด้วย แต่ถ้าหากอยู่ในพื้นที่อาศัยส่วนรวม หรือสถานที่ที่ไม่มีที่จอดรถประจำ อาทิเช่นคอนโดมิเนียม, หอพัก, อพาร์ทเม้น ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่มีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าติดตั้งไว้ในลานจอดรถอย่างแน่นอน แม้ว่าจะสามารถใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ชาร์จไฟฟ้าที่บ้านได้ แต่มันก็มีต้นทุนค่าชาร์จแบตเตอร์รี่ที่แพงกว่าการชาร์จที่บ้านนับเท่าตัวเลยทีเดียว

สรุปโดยรวมแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามีข้อดีอยู่มากมาย เช่น ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเลยทีเดียว นอกจากนี้รถยังดูแลรักษาได้ง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนข้อเสียก็คือ ต้องใช้เวลาในการชาร์จนานกว่าเติมน้ำมัน ซึ่งก็นับเป็นจุดด้อยที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์เครื่องสันดาปแต่ก็แก้ไขไม่ยากหากบริหารเวลาดีๆ นอกจากนี้รถยนต์ไฟฟ้ายังเหมาะกับคนที่มีพื้นที่ส่วนตัวมากกว่า เพราะการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าให้คุ้มค่าที่สุด ต้องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน และต้องติดมิเตอร์แบบ TOU ด้วย แต่ถ้าหากอยู่ในพื้นที่อาศัยส่วนรวม หรือสถานที่ที่ไม่มีที่จอดรถประจำ ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่มีที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าติดตั้งไว้ในลานจอดรถ ซึ่งก็จะทำให้ต้นทุนต่อการชาร์จแพงขึ้นนั่นเอง

ที่มา

 

ติดตามอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่  marinapaper.com

สนับสนุนโดย  ufabet369